วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


   "ผู้ใหญ่ลีกับนางมา...ชีวิตจริงหรือจินตนาการอันสวยงาม"
..." วันหนึ่งตอนฉันอายุประมาณห้าขวบ ฉันไปยืนดูทุ่งนาที่ตอนนั้นเป็นช่วงเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ในท้องนามีแต่ซังข้าว ฟางข้าว ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมีแสงสีเหลืองอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์ทาทาบไปทั่วผืนนา จำได้ว่าภาพที่เห็นช่างเป็นภาพที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ขณะนั้นมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกฉันว่าแสงแดดที่ฉันเห็นขณะนี้เขาเรียกว่า   แดดผีตากผ้าอ้อม  ฉันเป็นคนกลัวผี  พอได้ยินเขาบอกอย่างนั้นก็วิ่งไปหลบในบ้าน "....
ภาพความรู้สึกประทับใจในวัยเด็กครั้งนั้น ได้ประทับตราตรึงอยู่ในใจเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตลอดมา

จวบจนในวันหนึ่ง ความประทับใจนี้ ได้ถูกบันทึกลงในหนังสือเป็นนวนิยายที่ชื่อว่า "ผู้ใหญ่ลีกับนางมา"... 

อดีตเมื่อราว 100 ปีก่อน...
คุณตาของผู้เขียนพาครอบครัวมาตั้งหลักปักฐานที่คลองสิบเอ็ดสายกลาง ในสมัยที่มารดาผู้เขียนยังเป็นเด็ก

คุณยายของผู้เขียนชื่อยายส้มจีน คุณตาชื่อธรรม
สาเหตุที่นายธรรมมาอยู่ที่คลองสิบเอ็ดก็เพราะช่วงรัชกาลที่ 4 นายธรรมซึ่งขณะนั้นยังเป็นคนหนุ่มอยู่ท่านไปเป็นไพร่เลข ถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารประจำอยู่ในวังของเจ้านายท่านหนึ่ง

ขณะนั้นรัชกาลที่ ยังไม่ได้ครองราชย์ พระองค์มักจะไปเล่นหมากรุก ตะกร้อ กับนายธรรมที่วังแห่งนั้น จนเกิดความคุ้นเคยกัน

เมื่อนายธรรมใกล้จะพ้นเกณฑ์ทหาร พระองค์ก็ได้ตรัสชวนให้ไปทำราชการด้วยหลังจากที่พระองค์ครองราชย์แล้ว

แต่ด้วยความที่นายธรรมอยู่รับใช้ในวังมานาน และเห็นความเป็นไปของสังคมชั้นสูงจนเกิดความเบื่อหน่าย จึงตอบปฎิเสธไป

เมื่อพ้นเกณฑ์ทหาร ประกอบกับเมื่อมีคลองขุดเกิดที่ทุ่งรังสิตแล้ว นายธรรมจึงได้พาครอบครัวอพยพไปทำมาหากินที่คลองสิบเอ็ดสายกลาง ไปจับจองที่ดินซึ่งขณะนั้นราคาตกไร่ละ บาท ท่านได้จับจองไปประมาณ 100 ไร่ เพื่อทำนา

ต่อมาบุตรสาวของนายธรรมแต่งงาน และก็ได้ย้ายตามสามีไปอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ และให้กำเนิดลูกสาวตัวน้อยๆ ที่นี่ ซึ่งต่อมาคือผู้ประพันธ์เรื่อง "ผู้ใหญ่ลีกับนางมา"

จนกระทั่งลูกสาวอายุได้ 5 ขวบ หรือประมาณปีพ.ศ.2469  แม่ก็พาลูกสาวคนนี้กลับมาที่คลองสิบเอ็ดสายกลางอีกครั้ง มาเช่าที่ดินทำนาอยู่ที่นั่นจำนวน 25 ไร่ โดยมีควาย ตัว และลูกจ้างที่บ้าน คน เป็นเพื่อนเล่นของลูกสาว

เมื่อเด็กน้อยอายุได้ ขวบ จึงย้ายกลับไปเรียนอยู่กับพ่อที่จังหวัดชัยภูมิ

จากที่ผู้เขียนถือกำเนิดมาจากครอบครัวชาวนา และใช้ชีวิตกลางท้องทุ่งแห่งนี้นานถึง ปี จึงมี่โอกาสได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวนาจริงๆ ทั้งได้เห็น และได้ช่วยทางบ้านทำนา ทำให้ผู้เขียนเกิดความประทับใจในความงามของชนบทชาวนาไทย
ประกอบกับต่อมาภายหลังเมื่อผู้เขียนได้ฟังเพลง "ผู้ใหญ่ลี"  เลยอยากเปลี่ยนบุคลิกผู้ใหญ่ลีเสียใหม่ ไม่อยากให้เป็นชาวนาที่ดูเหมือนคนโง่ ไร้การศึกษา โดยให้ผู้ใหญ่ลีเป็น ชาวนาหนุ่มที่มีดีกรีบัณฑิต เป็นผู้มีความรู้และฉลาด 

ด้วยแรงบันดาลใจเหล่านี้ทำให้เมื่อพ.ศ.2506  ผู้เขียนก็ได้เริ่มงานเขียนเรื่องนี้ และสองปีต่อมานวนิยายเรื่อง "ผู้ใหญ่ลีกับนางมา" จึงได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรก
'
ท่านผู้อ่านชอบตัวละครตัวไหนในเรื่องกัน ?...
ท่านผู้อ่านคิดว่าตัวละครเหล่านั้นมีจริงไหม ?......
...
...
ผู้เขียนเรื่องนี้ ท่านได้กรุณาจะไขข้อข้องใจให้เราทราบกัน...
..." ตัวละครที่ปรากฏในเรื่องบางคน ท่านได้อ้างอิงมาจากบุคคลที่ท่านรู้จัก และก็มีบางคนที่มีชีวิตอยู่จริงในพื้นที่ โดยการจำลองเอาบุคลิกจริงของเขาเหล่านั้นมาใช้ และอาจมีการดัดแปลงบ้างเพื่อให้เข้ากับท้องเรื่อง นอกจากนี้แล้วก็มีตัวละครที่ท่านสร้างขึ้นเอง " ...

ตัวละครเด่นๆ ที่อยากนำเสนอ อ อ อ .

คุณนายวัน ; ยายของนางมาคือบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริง เป็นเพื่อนบ้านกับนางส้มจีนผู้เป็นยายของผู้เขียน สมัยก่อนที่คุณนายวันจะมาอยู่คลองสิบเอ็ด ท่านได้ชื่อว่าเคยเป็นสาวสังคมคนหนึ่ง ต่อมาท่านรู้สึกผิดหวังกับสังคมในเมืองกรุง จึงได้ย้ายมาอยู่ที่คลองสิบเอ็ดสายกลาง คุณนายวันเป็นญาติกับพระยาท่านหนึ่ง จึงทำให้ง่ายต่อการมาตั้งหลักปักฐานหลักในที่แห่งใหม่ คุณนายวันมีที่นาอยู่ที่คลองสิบเอ็ดนับร้อยไร่ มีโรงเลี้ยงควายที่ผู้คนละแวกนั้นกล่าวกันว่าใหญ่พอๆ กับหัวลำโพงเลยทีเดียว แต่ต่อมาที่ดินของคุณนายวันก็ขายให้กับนางปุย
นางปุย ; แม่ของผู้ใหญ่ลี ...ผู้เขียนเป็นญาติกับนางปุย นางปุยมีศักดิ์เป็นน้าของผู้เขียน นางปุยเสียชีวิตเมื่อสิบปีที่แล้ว

ลีนวัตร หรือผู้ใหญ่ลี ; ผู้ใหญ่ลีในชีวิตจริงเป็นครู เป็นลูกของนางปุย ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านหรือทำนา สาเหตุที่ผู้ใหญ่ลีมาโลดเล่นเป็นพระเอกในเรื่อง เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน  และเป็นคนหนุ่มที่อุดมการณ์รักวิถีชวิตแบบชาวนา ก็เพราะ ครั้งหนึ่งนางปุยได้มาปรึกษาผู้เขียนเรื่องลูกชายจะไปเรียนต่อ แต่ไม่รู้จะให้เรียนสาขาไหนดี ผู้เขียนจึงแนะนำให้ไปเรียนด้านการเกษตรเพราะจะได้นำความรู้ที่ได้ มาใช้พัฒนาที่ดินที่มีนับร้อยไร่ของที่บ้านได้ แต่ลูกชายนางปุยไม่ชอบ เพราะเห็นว่าอาชีพชาวนานั้นลำบากจึงไปเรียนวิชาครูแทน ผู้เขียนรู้สึกว่าขัดใจ ก็เลยตั้งใจว่าจะจับลูกชายนางปุยให้มาเป็นชาวนาให้ได้...

และในที่สุด ลูกชายนางปุยก็ได้มาเป็นผู้ใหญ่ลีในนวนิยายเรื่องนจนได้ี้เห็นไหม...!!!
มาลินี หรือนางมา ; ผู้เขียนได้จำลองบุคลิกนางแบบสาวคนหนึ่งในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นหลานคุณนายวันแต่อย่างใด
ไอ้ปื๊ด ; เป็นตัวละครที่สร้างสีสันของเรื่องตัวหนึ่ง  ที่ผู้เขียนได้สร้างขึ้นมา
สมภารเกิด หรือพระครูเกิด กิตติคุโณ ; ท่านเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดทศทิศารามในสมัยนั้นและมรณภาพเมื่อพ.ศ.2524
" รูปปั้นท่านสมภารเกิด  ตั้งอยู่ที่วัดทศทิศาราม "
'
.
เรื่องราวในปีพ.ศ.2550
..."ทุ่งรังสิต"...
ในสมัยก่อนเมื่อคลองขุดเข้ามา ทุ่งรังสิตจากที่เคยเป็นพื้นที่หนองบึง ก็กลายเป็นพื้นที่นาข้าว ตามมาด้วยการสูญพันธุ์ของเนื้อสมัน และการหายไปของช้างป่า

ในปัจจุบันเมื่อความเจริญก้าวย่างมา ทุ่งรังสิตจากที่เคยเป็นพื้นที่นาข้าว ก็กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร โรงงาน และสนามกอล์ฟ

" รูปคลองแปดวาในปัจจุบัน (จะเห็นโรงงาน บ้านจัดสรรตามแนวคลอง) "

ทุ่งรังสิตในวันนี้ยังมีการทำนาให้เห็นอยู่บ้าง ตามพื้นที่ที่ไกลออกไปจากชุมชนเมือง แต่ถ้าอยากเห็นผืนนาแบบสุดลูกหูลูกตานั้นไม่มีอีกแล้ว

พื้นที่แห่งนี้ที่เมื่อครั้งหนึ่งหมายถึง "เมืองแห่งข้าว" ก็เริ่มเลือนหายไปกับกาลเวลา คนรุ่นใหม่จะรู้จักทุ่งรังสิตในฐานะเมืองโรงงาน หรือเมืองแห่งการศึกษา เพราะมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับเมื่อมีโครงการถนนวงแหวนรอบนอกพาดผ่านทุ่งรังสิต ทำให้พื้นที่แห่งนี้กำลังจะเกิดโครงการต่างๆ ตามมาอีกมากเช่น เป็นที่ตั้งของหน่วยงานของภาครัฐที่ย้ายออกจากเมืองหลวง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น

" บึงหนองสัญลักษณ์ของทุ่งรังสิต ถูกแทนที่ด้วยบ้านจัดสรร "
..."คลองสิบเอ็ดสายกลาง"...
ครั้งหนึ่งฉันกะว่าจะไปเที่ยวคลองสิบเอ็ดสายกลาง โดยจะไปขึ้นเรือที่สะพานใหม่ตามที่ผู้เขียนเคยเดินทางไปในสมัยก่อน

แต่เมื่อไปถึงท่าเรือ ฉันกลับพบว่า ปัจจุบันเรือที่แล่นไปตามคลองหกวาสายล่าง ตลอดไปจนถึงคลองสิบเอ็ดสายกลางได้ถูกยกเลิกไปแล้ว อีกทั้งคลองทั้งสองเส้นนี้ก็ไม่มีการสัญจรทางน้ำมานานแล้ว

การเดินทางไปคลองสิบเอ็ดสายกลางเดี๋ยวนี้ ต้องไปทางถนนเท่านั้น โดยจะมีถนนเลียบริมคลองสิบเอ็ดสายกลาง ตั้งแต่หัวถนนลำลูกกาไปออกถนนสายรังสิต-นครนายก

ปัจจุบันพื้นที่ฝั่งตะวันออกของคลองสิบเอ็ดสายกลาง ได้แปรสภาพจากทุ่งนากลายเป็นสนามกอล์ฟ และบ่อเลี้ยงปลาดุก จนไม่หลงเหลือสภาพเดิมอีก

ขณะที่ที่ดินฝั่งตะวันตกของคลองสิบเอ็ดสายกลาง ยังพอมีการทำนาปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ตั้งแต่ต้นคลองไปถึงท้ายคลอง

แม้ในบัดนี้คลองสิบเอ็ดยังมีความเป็นบ้านนอกอยู่ แต่ก็คาดว่าอีกไม่นานพื้นที่แห่งนี้ คงมีโครงการพัฒนาที่ดินเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่คลองหนึ่งมาจนถึงคลองสิบบัดนี้ล้วนเต็มไปด้วยโรงงาน ห้างสรรพสินค้า และหมู่บ้านจัดสรร ขณะที่คลองสิบเอ็ดเองก็เริ่มมีประกาศขายที่ให้เห็นกันบ้างแล้ว

วัดทศทิศารามในวันนี้ ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านแถบนั้น ดังเช่นอดีตที่ผ่านมา ยังมีโรงเรียนชั้นประถมศึกษาที่คอยให้ความรู้แก่เด็กๆ และสภาพวัดยังคงมีเค้าโครงของสิ่งปลูกสร้าง อย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือให้เห็นอยู่บ้าง

" รูปทุ่งนาที่คลองสิบเอ็ด "

" นาข้าวที่คลองสิบเอ็ด ที่กำลังจะเปลี่ยนไป "

" บ่อเลี้ยงปลาดุก ที่มีตลอดฝั่งตะวันออกของคลองสิบเอ็ด " 

" คลองสิบเอ็ดหน้าวัดทศทิศศาราม " 
" ต้นพิกุลวัดทศทิศาราม ที่เคยกล่าวถึงในเรื่อง " 
" วัดทศทิศาราม " 
" พระอุโบสถวัดทศทิศาราม " 
" ศาลาการเปรียญวัดทศทิศาราม "